ครั้งหนึ่ง เช็กสเปียร์ หรือบุคคลที่คนไทยในยุคก่อนเรียกว่า เศกสพีระ เคยกล่าวทำนองว่า คนทั่วไปมักเปรียบเทียบว่าขึ้นอยู่กับคำพูด พระเจ้าเฮนรี่ที่ ๔ เคยบ่นว่าพระองค์ไม่พอพระทัยในความประพฤติไม่เหมาะสมของโอรสของพระองค์ เพราะไปคบกับเพื่อนฝูงหรือพระสหายที่ไม่ดี คือ เซอร์จอห์น ฟัลสตาฟ
ในงานของเช็กสเปียร์ พระเจ้าเฮนรี่ที่ ๔ ทรงเปรียบเซอร์จอห์น ฟัลสตาฟ
ในเชิงอุปมาว่า เหมือนถ้อยคำที่ดูเทอะทะ แต่ในที่สุดการคาดการณ์ทั้งหมดก็เป็นจริง
และเจ้าชายผู้นี้ก็สลัดเขาทิ้งเมื่อทรงขึ้นเป็นกษัตริย์
เช็กสเปียร์เทียบคนกับคำพูด
ทั้งนี้เพราะเห็นว่าน่าสนใจเมื่อกลับคำพูดหรือที่เรียกกันในสำนวนไทยว่า คำผวน คำต่างๆ
ย่อมสะท้อนบุคคลที่ใช้คำ แม้คำอุปมาก็ขยายออกไปอย่างมากมายจากคำพูดเดิม
เราคบใครเราก็มักจะได้คำพูด, ท่าทาง และคำอุปมาไม่น้อยจากพวกเขา
โดยเฉพาะในการใช้ถ้อยคำของพวกเขา คำพูดฉายให้เห็นระดับต่างๆ ทางสังคม, การศึกษา
และวิชาชีพตลอดจนหน้าที่ที่ทำกันอยู่
กวีเศกสพีระนั้นมีผู้เคยนับว่าเขากล่าววาทะเกี่ยวกับถ้อยคำไว้ทั้งหมดรวมกี่ครั้ง
เท่าที่มีผู้รวบรวมมีอยู่ประมาณ ๒๙ ประโยคในละครต่างๆ ที่เคยเขียนไว้
และส่วนใหญ่ก็เป็นประโยคที่น่าสนใจทั้งสิ้น
ถ้อยคำก็เหมือนบุคคลคือย่อมแตกต่างจากกัน ไม่ว่าในทางเพศ ภูมิภาค
และอายุ จะเห็นได้ว่า ถ้อยคำเทียบเคียงได้กับบุคลิกภาพของคนแต่ละคน
และสะท้อนเรื่องราวชีวิตที่เล่าสู่กันฟัง
แดนอรัญ แสงทอง เป็นคนหนึ่งซึ่งมีคุณสมบัติดังกล่าว
และเป็นคุณสมบัติที่สะท้อนชีวิตในชนบทที่มีวัวเป็นเพื่อน
ดังที่เขาเขียนเล่าไว้ในเรื่องนี้และเรื่องอื่นๆ
โดย ดร.นพพร สุวรรณพานิช
คำนิยม (บางส่วน) จากหนังสือ “เจ้าการะเกด
เรื่องรักแต่เมื่อครั้งบรมสมกัปป์” สำนักพิมพ์ แมวคราว ๒๕๔๖<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
ข้าพเจ้าอยากให้ท่านผู้อ่านค้นพบด้วยตัวท่านเองว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างและท้ายที่สุดแล้วลงเอยเช่นใด
ข้าพเจ้าคงกล่าวได้แต่เพียงว่ามีการตามล่าเสือสางอันร้ายกาจตัวหนึ่ง
เรื่องเล่านี้ก่อให้เกิดความเจ็บปวดรวดร้าวและดึงดูดความสนใจของเราไว้จนแน่วแน่
เต็มไปด้วยอันตราย ความตื่นตระหนก และเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเฉียดกรายมาอยู่เนืองๆ
โดย มาร์แซล บารังส์
(นักแปลและนักวิจารณ์ชาวฝรั่งเศส
ใช้ชีวิตอยู่เมืองไทยนานเกือบ ๔๐ ปี
แปลเรื่องสั้นไทยเป็นภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสมากกว่า ๑๐๐ เรื่อง
และแปลนวนิยายไทยเป็นภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสมากกว่า ๒๐ เรื่อง)บทวิจารณ์ (บางส่วน) อ่านฉบับเต็มได้ที่บล็อกแดนอรัญ แสงทอง
http://daen-aran-saengthong.blogspot.com/
<<<<<<<<<<<<<<<<&a<<<<<<>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
นวนิยายเรื่องเจ้าการะเกด
เรื่องรักแต่เมื่อครั้งบรมสมกัป
ผลงานของ แดนอรัญ แสงทอง เป็นการตอบโต้และต่อรองกับรูปแบบนวนิยายในฐานะตัวแทนของวัฒนธรรมตะวันตก
นวนิยายเรื่องนี้เสนอว่านวนิยายมิได้แตกต่างและแยกขาดออกจากนิทาน หากทว่านวนิยายเป็นความต่อเนื่องของนิทาน
และทั้งสองต่างมีภารกิจแรกเริ่มต่อมนุษย์แบบเดียวกันคือความบันเทิง ผู้แต่งแสดงความตระหนักถึงภารกิจดังกล่าวของนวนิยายด้วยการเสนอนวนิยายเรื่องนี้ในรูปของเรื่องเล่าซ้อนเรื่อง
ลักษณะดังกล่าวคล้ายกับนิทานซ้อนนิทานซึ่งเป็นรูปแบบของนิทานอินเดียและเปอร์เซีย กลวิธีนี้นอกจากจะทำให้เห็นถึงลักษณะที่เหลื่อมซ้อนกันระหว่างนวนิยายกับนิทานแล้วยังเป็นการรื้อฟื้นรูปแบบนิทานของตะวันออกกลับคืนมาในรูปแบบของนวนิยายตะวันตกอีกด้วย
โดย ผศ.ดร. เสาวณิต จุลวงศ์
บทวิจารณ์ (บางส่วน) อ่านฉบับเต็มได้ที่บล็อกแดนอรัญ
แสงทอง http://daen-aran-saengthong.blogspot.com/
ความคิดเห็นที่เด่นมากในงานของแดนอรัญคือการทำความเป็นพื้นบ้านให้เป็นสากล ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของนักเขียนยิ่งใหญ่หลายคนในโลกตะวันตก งานถึงอารมณ์ บรรยากาศ และวิธีการของแดนอรัญที่ผมชอบมากที่สุดในงานของเขาก็คือภาษาที่ละเมียดและประณีตมาก
เรื่องที่ผมหลงรักมากคือ
เจ้าการะเกด เรื่องรักแต่เมื่อครั้งบรมสมกัปป์ อยากให้ทุกคนได้อ่านรสวรรณกรรมในเรื่องมาก
"ลมหนาวโบกโบยมาแล้วแต่ยังไม่ได้โหมกระหน่ำรุนแรง
เพียงแต่ถะถั่งมาไม่รู้จบสิ้น เรื่อยรินมาสม่ำเสมอ แห้งผากและเงียบเชียบ
ส่อเค้าแห่งความทารุณ
มีความทมิฬหินชาติและความมุ่งร้ายหมายขวัญแอบแฝงอยู่ในความเยียบเย็นและอาการโบกโบยอันช้าเชือนของมันนั้น"
โตมร
ศุขปรีชา
นักเขียน
/ บรรณาธิการบริหาร นิตยสาร GM
นอกจากความจับใจในภาษาแล้ว เรื่องในนี้ยังมีทั้งอารมณ์ขันที่น่ารัก
มีอารมณ์ตื่นเต้นใคร่รู้ และมีความเศร้าโศกเหลือแสน มีทั้งความรักและชัง
เศร้าและสุข ใครที่ชอบเรื่องผจญภัยตามแบบล่องไพร หรือเพชรพระอุมา
ก็น่าจะอ่านได้สนุก เพราะในเรื่องรวมเอาความลึกลับแสนเสน่ห์ไว้ได้เช่นนั้น
โดย เฟย์ Faylicity
/ นักวิจารณ์
บทวิจารณ์ (บางส่วน) อ่านฉบับเต็มได้ที่บล็อกแดนอรัญ
แสงทอง http://daen-aran-saengthong.blogspot.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น