กฤษณา อโศกสิน ในวัย 82
ทุกครั้งที่เธอเบื่อกับภาษาสละสลวยเวิ่นเว้อ เธอจะชอบกลับมาอ่าน "เงาสีขาว" บ่อยๆ เพราะทึ่งในความดิบและพลังมหัศจรรย์ในการเปิดเปลื้องอารมณ์ของ แดนอรัญ แสงทอง
เธอเพิ่งซื้อ "อสรพิษ" มาและกำลังจะเริ่มอ่านเร็ว ๆ นี้
จากบทสัมภาษณ์ใน Bangkok Post
http://www.bangkokpost.com/lifestyle/book/443770/the-mistress-of-domestic-drama
วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
ในลิ้นชักความทรงจำ นักเขียนรางวัลซีไรต์ปี 2557 แดนอรัญ แสงทอง
เขาเป็นนักเขียนไทยที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศมาก่อน (จบ)
ขอบคุณคุณยูร
กมลเสรีรัตน์ ที่เอื้อเฟื้อบทความ “ในลิ้นชักความทรงจำ” ตีพิมพ์ครั้งแรกในสยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ ปีที่ 61 ฉบับที่ 54
ไม่เพียงแต่ผลงานของแดนอรัญ แสงทองได้รับการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ เท่านั้น เกียรติยศอันสูงส่งในชีวิตก็คือ
ได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์ชั้นเชอวาลิเย่ร์(Chevalier
des Arts et des Lettres) ด้านศิลปะและอักษรศาสตร์ จากกระทรวงวัฒนธรรม
ประเทศฝรั่งเศส ในฐานะนักเขียน
ไทยคนแรกที่มีชื่อเสียงในประเทศฝรั่งเศส เรียกว่า
เป็นนักเขียนชั้นอัศวิน หนังสือพิมพ์ที่สัมภาษณ์เขาหลังจากได้รับเครื่องราชอิสรยภรณ์คือกรุงเทพธุรกิจ
เซกชั่นจุดประกายวรรณกรรม ภายหลังนิตยสารกุลสตรีได้สัมภาษณ์อีกครั้งหนึ่ง
หากก่อนหน้ามีนิตยสาร GM
ได้ทำการสัมภาษณ์ หลังจากผลงานของเขาได้รับการแปลเป็นภาษาฝรั่งเศส
ถือได้ว่าแดนอรัญ
แสงทองเป็นนักเขียนไทยที่มีชื่อเสียงมากในระดับสากล ภายใต้ชื่อ Saneh Sangsuk (เสน่ห์ สังข์สุข) ผลงานของเขาได้รับการเป็นภาษาต่างประเทศแทบทุกเล่ม
และอวดโฉมอยู่บนชั้นหนังสือในร้านหนังสือที่มีชื่อเสียงในแฟรงก์เฟิร์ต,โบโลญญา,มาดริด,ลิสบอน,ปารีส ฯลฯ โดยเฉพาะวรรณกรรมชิ้นเอก 3 เล่มคือ เงาสีขาว,อสรพิษและเจ้าการะเกด สำหรับเรื่องสั้นขนาดยาว“อสรพิษ”ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาในหลายมหาวิทยาลัยของฝั่งยุโรป
ผมพยายามคิดย้อนไปในอดีตอันยาวนานหลายตลบว่า
คุ้นกับชื่อจริงของเขาคือเสน่ห์ สังข์สุขที่ไหน เมื่อภาพเก่า ๆ แจ่มชัดขึ้น
จึงจำได้ว่าช่วงแรกของการเขียน เขาใช้นามปากกา “มายา”
มีเรื่องสั้นตีพิมพ์ในนิตยสารต่าง ๆ หลายฉบับ เท่าที่จำได้ก็คือ ฟ้าเมืองทอง,ฟ้าของอาจินต์ ปัญจพรรค์ และนิตยสารหนุ่มสาวของปกรณ์ พงศ์วราภา หรือกรณ์ ไกรลาศ
นักเขียนเรื่องสั้นระดับแถวหน้าในอดีต นั่นเมื่อเกือบ 30 ปีเห็นจะได้
ย้อนเวลาไปในอดีต แดนอรัญ แสงทอง เกิดเมื่อปีพ.ศ.
2500 ที่จังหวัดเพชรบุรี บ้านเดียวกับธัญญา ธัญญามาศ กวีมือทองวัยอาวุโส
ในวัยเยาว์อยู่ในความอุปการะของพระอาจารย์อิน อินฺทโชโต
ซึ่งเป็นพระภิกษุที่เป็นที่นับถือของชาวเพชรบุรี นักเขียนคลื่นลูกเดียวกันได้แก่โดม วุฒิชัย,นิรันศักดิ์
บุญจันทร์,แก้ว
ลายทอง ฯลฯ เขาจบการศึกษาเอกวรรณคดีอังกฤษจาก
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร เริ่มเขียนหนังสือเมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย เรื่องสั้นเรื่องแรก
แรก“เพลงศพ” ตีพิมพ์ใน
สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ จากนั้นเขาก็มีเรื่องสั้นตีพิมพ์ตามนิตยสารต่าง ๆ
อีกหลายฉบับ จนกระทั่งเรื่องสั้น“ทุ่งร้าง” ได้รับรางวัลดีเด่น จากนิตยสารฟ้าเมืองทอง
หลังจากสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ประสานมิตร แดนอรัญ แสงทอง
ทำงานเป็นล่ามให้กับ องค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา หรือUSAID (United
Sates Agency for International
Development) ในตำแหน่งล่าม ในเวลาต่อมาเขาหันหลังให้กับการเป็นมนุษย์เงินเดือน ด้วยเหตุผลที่ว่าตัวตนของเขากำลังจะสูญเสียจิตวิญญาณในชีวิตไป
นั่นก็คือการเขียนหนังสือ จากนั้นแดนอรัญ
แสงทองจึงเริ่มต้นอาชีพที่เขารักเต็มเปี่ยม
ทั้งงานเขียน งานแปลและงานบรรณาธิการ
ผลงานเล่มแรกชื่อ“ผู้ถูกกระทำ”เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้น,ความเรียงและบทละคร
ในนามปากกา “มายา” แต่ในภายหลังเขาได้ทำลายหนังสือเล่มนี้ทิ้งเท่าที่จะสามารถทำได้
ด้วยเหตุผลที่ว่านามปากกา
“มายา”ไปซ้ำกับวินัย อุกฤษณ์ นักเขียนกลุ่มพระจันทร์เสี้ยวที่แต่งเพลง
“นกสีเหลือง” จากนั้นเขาก็ตั้งนามปากกา “แดนอรัญ
แสงทอง” เบิกทางไปสู่แสงสีทองแห่งตัวอักษรนับแต่นั้นมา
หลังจากนั้นแดนอรัญ
แสงทองตัดสินใจออกเดินทาง เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายในเมืองหลวง เดินทางไปในเส้นทางของการแสวงหาและได้เขียนผลงานออกมาเป็นบทกวีชื่อ
“ ตะคอกปีศาจ”ใช้นาม “อรัญวสี” ระหว่างเช่าห้องเล็ก ๆ
อยู่ที่จังหวัดฉะเชิงเทราเพื่อทำงานเขียน เขาเฝ้ามองภาพชีวิตของผู้คนต่างๆ
ทำให้เขาหวนคิดถึงภาพชีวิตของตนในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งเขาเคยผูกพันอยู่กับผู้คน,สังคม,ประเพณีและเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เขาจึงเริ่มต้นเขียนนวนิยาย เรื่องแรก“เงาสีขาว” นวนิยายขนาดยาวที่ตั้งใจ
จะให้เป็นเสมือนภาพเหมือนของศิลปินในฐานะวัยระห่ำของชีวิต โดยต้นฉบับร่างแรกใช้เวลานานกว่า 6 ปี
หลังจากวางมือกับต้นฉบับร่างแรกของ“เงาสีขาว” แดนอรัญ แสงทองเดินทางเข้าเมือง หลวง เพื่อทำหน้าที่บรรณาธิการสำนักพิมพ์สำนักพิมพ์อรุโณทัยของเขาเอง ในห้วงเวลานั้นเขามีผลงานรวมเรื่องสั้น,ความเรียงและกวีนิพนธ์ร้อยแก้ว“ยามพราก” ซึ่งเป็นรวมผลงานความเรียง เรื่องสั้นและกวีนิพนธ์ร้อยแก้ว ในขณะเดียวกันเขาได้อ่านต้นฉบับ “ เงาสีขาว”อีกครั้ง เพื่อจัดพิมพ์ออกมา แต่ความยาวเหยียดของเนื้อหา สร้างความหนักใจให้กับแดนอรัญ แสงทองมาก จึงขัดเกลาและเรียบเรียงเนื้อหาใหม่ ให้เหลือเพียง 415 หน้า
“เงาสีขาว”ปรากฏโฉมออกมาในปีพ.ศ. 2536 หากวงวรรณกรรมไทยไม่ได้ให้ความสนใจแม้แต่น้อย ไม่มีนักวิจารณ์กล่าวถึงผลงานเล่มแรกของเขาเลย แต่ผู้ที่ให้ความสนใจและแสดงความตื่นเต้นอย่างมากมายกลับเป็นชาวต่างประเทศที่ชื่อมาแซล บารังส์(Marcel Barang) นักแปลและนัก
หลังจากวางมือกับต้นฉบับร่างแรกของ“เงาสีขาว” แดนอรัญ แสงทองเดินทางเข้าเมือง หลวง เพื่อทำหน้าที่บรรณาธิการสำนักพิมพ์สำนักพิมพ์อรุโณทัยของเขาเอง ในห้วงเวลานั้นเขามีผลงานรวมเรื่องสั้น,ความเรียงและกวีนิพนธ์ร้อยแก้ว“ยามพราก” ซึ่งเป็นรวมผลงานความเรียง เรื่องสั้นและกวีนิพนธ์ร้อยแก้ว ในขณะเดียวกันเขาได้อ่านต้นฉบับ “ เงาสีขาว”อีกครั้ง เพื่อจัดพิมพ์ออกมา แต่ความยาวเหยียดของเนื้อหา สร้างความหนักใจให้กับแดนอรัญ แสงทองมาก จึงขัดเกลาและเรียบเรียงเนื้อหาใหม่ ให้เหลือเพียง 415 หน้า
“เงาสีขาว”ปรากฏโฉมออกมาในปีพ.ศ. 2536 หากวงวรรณกรรมไทยไม่ได้ให้ความสนใจแม้แต่น้อย ไม่มีนักวิจารณ์กล่าวถึงผลงานเล่มแรกของเขาเลย แต่ผู้ที่ให้ความสนใจและแสดงความตื่นเต้นอย่างมากมายกลับเป็นชาวต่างประเทศที่ชื่อมาแซล บารังส์(Marcel Barang) นักแปลและนัก
วิจารณ์ชาวฝรั่งเศส เมื่อมาแเซล บารังส์ จัดทำโครงการ The 20 Best Novels
of Thailand โดยคัดเลือกให้ เงาสีขาว เป็นหนึ่งในยี่สิบ
นวนิยายชั้นเยี่ยมของไทย ที่ได้รับการแปลและจัดพิมพ์เป็นภาษาฝรั่งเศส
จากคณะกรรมการพิจารณาหนังสือ ของศูนย์หนังสือแห่งชาติฝรั่งเศส (Centre
National du Livre) ดังที่กล่าวไว้ในฉบับก่อน
ผลงานเล่มต่อมา หลังจากเขาย้ายไปอยู่ที่เพชรบุรี
คือเรื่องสั้นขนาดยาว“อสรพิษ” งานเขียนที่มีความยาว 20 หน้า
ซึ่งใช้เวลาคิดนานกว่า 20 ปี แรงบันดาลใจที่เกิดขึ้นกับคนในสังคมเล็กๆ
จินตนาการ และการเล่าขานในตำนานของหมู่บ้าน
ผ่านเรื่องราวของเด็กแขนพิการกับแม่งูยักษ์
ที่ต่างก็รัดชะตากรรมของจนเองเอาไว้ก่อนจะถึงจุดจบ “อสรพิษ”พิมพ์ครั้งแรก เมื่อเดือนเมษายน 2545 โดยสำนักพิมพ์
แมวคราวของ ธนิต สุขเกษม เป็นหนังสือฉบับสองภาษา ทั้งฉบับไทยและภาษาอังกฤษ
นอกจากนี้ยังมีคำนำของ อาจินต์ ปัญจพรรค์
ในภาคภาษาไทยและมีคำนำของมาแซล บารังส์
ในภาคภาษาอังกฤษ
ผลงานเรื่องต่อมาที่จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์แมวคราวคือนวนิยายเรื่อง“เจ้าการะเกด” สำหรับเรื่องสั้นขนาดยาว“อสรพิษ”ซึ่งได้รับการแปลถึง 8 ภาษา มียอดจำหน่ายกว่าแสนเล่ม โดยมาแซล บารังส์ยกย่องว่า“อสรพิษ”
ว่าเป็นผลงานชิ้นเยี่ยม ชิ้นหนึ่งของโลก ไม่ใช่ผลงานสร้างสรรค์แห่งอาเซี่ยน
แต่เป็นผลงานสร้างสรรค์ระดับโลก
นอกจากนี้
“อสรพิษ”ยังนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ โดย วีรยศ สำราญสุข ทิวาเวทย์ ได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณ
จากโครงการและกิจกรรมส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ
ของสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม
และเข้าร่วมฉายในเทศกาลภาพยนตร์ระดับโลกอย่าง Cannes Film Festival ที่ประเทศฝรั่งเศส
ผลงานของแดนอรัญ แสงทองมีดังนี้-ผู้ถูกกระทำ,อสรพิษ,ยามพราก,เพลงรักคนพเนจร,แมวผี,เงาสีขาว,เจ้าการะเกด,เดียวดายใต้ฟ้าคลั่ง,ตำนานเสาไห้,อตีเตกาเล,วิมุตติคีตา:อานุภาพแห่งอนุสาสนีปาฏิหาริย์,มาตานุสติ,ดวงตาที่สาม,อสรพิษและเรื่องอื่น ๆ
ก่อนหน้าที่แดนอรัญ
แสงทองจะได้รับรางวัลซีไรต์ในปีพ.ศ.2557 จากรวมเรื่องสั้น“อสรพิษและเรื่องอื่น
ๆ ” เขาได้รับยกย่องให้ได้รับรางวัลศิลปาธร สาขาวรรณศิลป์ จากสำนักศิลงานวัฒนธรรมร่วมสมัยมาแล้วเมื่อ
ปี 2553 สำหรับงานแปลที่ใช้นามปากกา“มายา”ได้แก่ทุ่งดอกหญ้าถึงดวงดาวของออสการ์
ไวลด์,เมตามอร์ฟอร์ซิส
ของฟรานซ์ คาฟก้า, คนสวน
ของรพินทรนารถ ฐากูร, คนโซ ของคนุท เฮ็มซุน นามปากกา“เชน จรัสเวียง” ได้แก่กระแสลมในฤดูใบไม้ผลิ,
แล้วดวงตะวันก็ฉายแสงและสวนสวรรค์แห่งความรัก ของเออร์เนสต์ เฮ็มมิงเวย์ เป็นอาทิ
“...งานเขียนไม่ใช่สิ่งที่จะเอาชนะได้โดยง่าย งานเขียนมันมีอะไรของมัน
งานเขียนที่ดีไม่ใช่สิ่งที่เอาชนะได้โดยง่าย
คุณต้องทำงานหนักเพื่อที่จะต้องเขียนมันให้ดีจริงๆ ต้องแลกกับมันทั้งชีวิต...” แดนอรัญ แสงทองเคยกล่าวไว้และเขาจะยังคงทุ่มชีวิตให้กับงานเขียนต่อไปไม่สิ้นสุด
“จงเก็บรักษารักไว้ในหัวใจ
ชีวิตที่ไร้รักเปรียบเสมือนสวนที่ ไร้แสงตะวัน เมื่อดอกไม้แห้งเหี่ยว และ ล้มตาย”ออสการ์
ไวล์ด)
ในลิ้นชักความทรงจำ นักเขียนรางวัลซีไรต์ ปี 2557 แดนอรัญ แสงทอง
เขาเป็นนักเขียนไทยที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศมาก่อน (1)
ขอบคุณคุณยูร
กมลเสรีรัตน์ ที่เอื้อเฟื้อบทความ “ในลิ้นชักความทรงจำ” ตีพิมพ์ครั้งแรกในสยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ ปีที่ 61 ฉบับที่ 53
k_yoon_w_c@hotmail.com
“เงาสีขาว”
คือผลงานเล่มแรกของแดนอรัญ
แสงทองที่ผมรู้จักราว 20 ปีก่อน จำได้ว่าเจอหนังสือเล่มนี้ที่ร้านหนังสือเดอะมอลล์
ท่าพระ ฉบับพิมพ์ครั้งแรกปกพื้นสีขาว ตัวหนังสือสีดำสะดุดตา ที่สำคัญ
หนังสือเล่มใหญ่ หนาปึ้ก ขนาดสิบหกหน้ายกพิเศษ เป็นรองพจนานุกรมไทยไม่เท่าไหร่ ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าแดนอรัญ แสงทองเป็นใคร คิดว่าเป็นนักเขียนใหม่ มารู้ภายหลังในเวลาต่อมา
ว่า เขาเป็นนักเขียนเก่า แต่ใช้นามปากกาใหม่
ผมเคยติดตามผลงานเรื่องสั้นและบทกวีของเขามาก่อนในอีกนามปากกาหนึ่ง
ในเวลานั้นผมคิดว่า“เงาสีขาว” คงขายยาก หนังสือเล่มโต
ๆ ใครเห็นก็ต้องขยาด
ยกเว้นหนอนหนังสือตัวยงและยกเว้นอีกเหมือนกัน คือกรณีหนังสือเล่มนั้นได้รางวัลใหญ่เท่านั้น
ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของรสนิยมคนไทย จะซื้ออ่านตามกระแสเห่อรางวัลและครั้งที่“เงาสีขาว”
เข้ารอบ
สุดท้ายรางวัลซีไรต์เมื่อปี
2537 ซึ่งปีนั้นเป็นรอบของการประกวดนวนิยาย นวนิยายที่เข้ารอบสุดท้าย 6 เล่มในปีนั้น ล้วนเป็นผลงานที่เปี่ยมด้วยคุณภาพทั้งนั้น
เป็นปีที่ต้อง ‘ลุ้น’กันมาก เพราะคุณภาพหลากหลายและเชือดเฉือนกันเหลือเกิน
ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ปีกความฝัน,เวลา,ชะบน,ผ้าทอง,หมู่บ้านท่าเข็น
จน‘โหรซีไรต์’ที่ผมให้สมญานามคือ สกุล บุณยทัต นักวิจารณ์รางวัลดีเด่น
กองทุนหม่อมหลวงบุญเหลือ เทพยสุวรรณ เอาผลงานทั้ง
6 เล่มมาวิเคราะห์และแจกแจงอย่างละเอียดลออ
โดยทำนายว่า นวนิยายเรื่องใดมีสิทธิ์จะได้รางวัลซีไรต์และมีน้ำหนักมาก-น้อยแค่ไหน สร้างความคึกคักให้กับวงวรรณกรรมเป็นอย่างมาก
นวนิยายแต่ละเรื่องต่างก็มีข้อดี-ข้อเด่นคนละแบบ สำหรับเรื่อง “เงาสีขาว”นั้น
ถือว่าแปลกแหวกแนวสุดเหวี่ยงกว่าทุกเรื่อง
เป็นการถะถั่งพรั่งพรูของกระแสสำนึกออกมาอย่างทะลักทลาย คัดค้านต่อความดีงามทั้งปวง ซ้ำแต่ละบรรทัดตัวหนังสือยังเรียงติดกันเป็นพืด
ไม่มีช่องว่างให้พักสายตาแม้แต่น้อย นั่นเพราะเป็นความจงใจของผู้เขียน ผู้เขียนต้องการแหวกขนบทั้งปวง
ทั้งในด้านเนื้อหาและวิธีการเขียน
ถ้าใครติดตามคอลัมน์นี้เป็นประจำ จะเห็นว่า 11 ปีมานี้
จะไม่เขียนเชียร์คนที่ได้รับรางวัล
ใหญ่
ๆ จะไม่ตามกระแส เพราะเขาดังแล้วและหนังสือฉบับอื่นก็เขียนถึงหลายฉบับแล้ว เหตุที่เขียนถึงแดนอรัญ แสงทองในครั้งนี้ เพราะเมื่อกว่า 10 ปีก่อน ครั้งที่เขียนคอลัมน์เกี่ยวกับวรรณกรรมที่นิตยสารกุลสตรีเป็นเวลาเกือบ
10 ปี วันหนึ่ง ผมคุยโทรศัพท์กับวีรยศ สำราญสุขทิวาเวทย์ ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดกับอาจินต์ ปัญจพรรค์ ศิลปินแห่งชาติ ผู้สร้างผลงานอมตะชุด เหมืองแร่ และในตอนหนึ่งของการสนทนา ผมได้พูดถึงแดนอรัญ แสงทอง
วีรยศเห็นผมสนใจผลงานของแดน อรัญแสงทอง
ก็เลยเสนอตัวว่า ถ้าผมจะไปสัมภาษณ์ จะพาไปที่เพชรบุรี เพราะเขารู้จักกับแดนอรัญ แสงทอง
ตอนนั้นผมไม่สะดวกจะไปที่ไหนเลย เรียกว่าขยับตัวไปไหนลำบากก็ว่าได้ จึงไม่ได้ให้คำตอบ เพราะต้องดูแลพ่อแม่ที่แก่ชรา
พ่อก็เกือบเก้าสิบ แม่เกือบแปดสิบ
ใครไม่เลี้ยงคนแก่จะไม่รู้ซึ้งหรอกว่าเป็นยังไง เหนื่อยแค่ไหน บุกตะลุยไปสัมภาษณ์นักเขียนในกรุงเทพฯแต่ละครั้ง
บางครั้งไกลมาก ก็เหนื่อยแล้ว กลับไปถึงบ้านก็ต้องทำหน้าของลูกต่อ
หลังจากพ่อแม่เสียชีวิตเมื่อกว่าสิบปีก่อน ผมก็ลืมเลือนเรื่องนี้ไปเลย
มารู้ข่าวอีกทีตอนผลงานของแดนอรัญ
แสงทองเข้ารอบสุดท้ายรางวัลซีไรต์ปีนี้และมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า เอาผลงานเก่าที่เคยพิมพ์รวมเล่มแล้วส่งประกวด ความจริงแล้วในเล่มมีผลงานใหม่ ซึ่งมีสัดส่วนมากกว่าผลงานเก่า
เป็นไปตามกติกาของการประกวด ก็‘ลุ้น’เขาอยู่ในใจ ในฐานะนักเขียนเก่าและ‘ของจริง’ จนกระทั่งเขาได้รางวัลซีไรต์
การเขียนถึงแดนอรัญ แสงทอง จึงไม่ใช่เพราะเขาได้รางวัลซีไรต์แต่อย่างใด เพียงแต่รู้สึกผิดนิด ๆ ว่าน่าจะเขียนถึงเขาตั้งนานแล้ว
เพราะเขาคือนักเขียนคุณภาพ
เขาคือของแท้ เหมือนกับบทความของสุชาติ สวัสดิ์ศรี ศิลปินแห่งชาติ
อดีตบรรณาธิการโลกหนังสือ,โลกหนังสือฉบับเรื่องสั้นและช่อการะเกดที่เขียนไว้ชื่อ “อำนาจแห่งความเป็นของแท้”
ตีพิมพ์ในช่อการะเกดยุคแรก เฉียบคม กินใจมาก
หากของแท้อย่างแดนอรัญ
แสงทอง กลับไม่ได้รับการต้อนรับในเมืองไทย และไม่มีใครพูดถึงผลงานของเขาเลย
ครั้งที่ “เงาสีขาว”เข้ารอบสุดท้ายรางวัลซีไรต์เมื่อปี
2537 แต่ในที่สุดแล้ว ด้วยเนื้อหาที่รุนแรง
จึงถูกคัดค้านจากคณะกรรมการและมีมติให้ถอดนวนิยายเรื่อง “เงาสีขาว”ออกจากรอบสุดท้าย หากเมื่อเป็นของแท้ แม้ผลงานของเขาจะถูกมองข้ามจากคนในประเทศ แต่กลับข้ามน้ำข้ามทะเล ไปมีชื่อเสียงขจรในต่างประเทศ เพราะคนต่างประเทศให้การต้อนรับผลงานของเป็นอย่างดีและน่าจะเป็นนักเขียนไทยเพียงคนเดียวที่มีชื่อเสียงในระดับสากล
จากนวนิยายเรื่อง “เงาสีขาว”ประเดิมเป็นเรื่องแรก
นั่นก็คือเมื่อมาแซล บารังส์ นักแปลชาวฝรั่งเศส จัดทำโครงการ The 20 Best Novels of Thailand เขาได้คัดเลือกเรื่อง“เงาสีขาว” เป็น 1 ใน 20 นวนิยายชั้นเยี่ยมของไทย
พร้อมกับเขียนบทวิจารณ์ และแปลตัวอย่างนวนิยายเรื่อง“เงาสีขาว”
เป็นภาษาอังกฤษ ลงในหนังสือ Thai Modern Classic
หลังจากนั้นมาแซล
บารังส์ ได้แปลตัวอย่างนวนิยายเรื่องนี้ เสนอสำนักพิมพ์ชั้นนำหลายแห่งในฝรั่งเศส ในที่สุดนวนิยายเรื่อง“เงาสีขาว” ก็ได้รับการแปลและจัดพิมพ์เป็นภาษาฝรั่งเศส
จากคณะกรรมการพิจารณาหนังสือของศูนย์หนังสือแห่งชาติฝรั่งเศส
(Centre National du Livre)
“เงาสีขาว” ฉบับพิมพ์ครั้งแรกในภาษาฝรั่งเศส
จึงอวดโฉมบนชั้นหนังสือในชื่อ L’ombre Branche (2001) โดยสำนักพิมพ์ เลอเซย (Editions du Seuil)
แปลโดย
มาแซล บารังส์ ผู้เขียนคือ Saneh Sangsuk (เสน่ห์ สังข์สุข)
ซึ่งเป็นชื่อจริงของแดนอรัญ แสงทอง อยู่บนปกหนังสือ
ผลงานเรื่องต่อมาเป็นเรื่องสั้นขนาดยาวชื่อ“อสรพิษ”
พิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารทางอินเตอร์เน็ต ชื่อ Thai
Ink
มาแซล
บารังส์ ได้นำเรื่อง “อสรพิษ”มาแปลเป็นภาษาฝรั่งเศส ในชื่อ Vernon และจัดพิมพ์เป็นเล่มครั้งแรก
โดยสำนักพิมพ์ เลอเซย นอกจากนี้ “อสรพิษ”ยังได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษ
ในชื่อ Vernin โดย มาแซล บารังส์ และนำไปทยอยลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์
พิมพ์บางกอกโพสต์ ประจำเดือนกรกฏาคม 2001 ซึ่งเรื่องสั้น“อสรพิษ” นี้ นักอ่านต่างประเทศต่างก็ชื่นชอบกันมาก
หนังสือพิมพ์ในด้านวรรณกรรมของฝรั่งเศสชื่อ Le
monde des Livres ได้เขียนถึงผลงานของ Saneh Sangsuk (เสน่ห์ สังข์สุข)ในหน้าแรกของหนังสือพิมพ์ โดยกล่าวถึงผลงานของเขาสองเรื่องคือ เงาสีขาว
และ อสรพิษ
นอกจาก“อสรพิษ” จะได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสแล้ว
ยังได้รับการแปลเป็นภาษา คาตาลัน,กรีก,โปรตุเกส,สเปน,เยอรมันและอักษรเบลล์ รวมทั้งดัดแปลงเป็นละครเวทีในฝรั่งเศส นวนิยายอีกสองเรื่องคือ“เดียวดายใต้ฟ้าคลั่ง”
ได้รับการแปลเป็นภาษาฝรั่งเศส ส่วน“เจ้าการะเกด”
ได้รับการแปลเป็นภาษาฝรั่งเศสและอิตาลี ซึ่งในแวดวงวรรณกรรมของทั้งสองประเทศต่างก็ให้ความชื่นชมนวนิยายเรื่องนี้มาก
“ไม่ว่าปัญหาในอดีตจะแก้ไขได้หรือไม่
เราต้องดำรงชีวิตอย่างมีความหมายต่อไป”(อัลแบร์
กามูส์)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)